เบญญาภา ชัยวงค์ 13
ดับสูญหาย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระเจ้าพรหมทัตผู้เป็นราชาแห่งเมืองพาราณสี ได้เสด็จไปทรงเล่นน้ำอยู่ในอุทยานหลวงพร้อมด้วยพระมเหสีและข้าราชบริพารทั้ง หลาย ซึ่งครั้งนั้นพระมเหสีได้ทรงถอดเครื่องประดับคือปิ่นปักผมและสร้อยมุกอันงด งามใส่ห่อผ้าไว้ แล้วมอบให้แก่นางทาสีคนหนึ่งเป็นผู้รักษาไว้
ขณะนั้นเองก็ได้มีนางลิงตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในอุทยานหลวงแห่งนี้ เมื่อเห็นปิ่นปักผมและสร้อยมุกของพระมเหสีเข้าก็เกิดชอบใจอยากได้มาสวมใส่ บ้าง จึงแอบเฝ้ามองอยู่เมื่อนางทาสีเผลอหลับไป นางลิงสบโอกาสก็แอบเข้าไปขโมยปิ่นปักผมและสร้อยมุกขึ้นไปซ่อนไว้ในโพรงไม้
ฝ่ายนางทาสีเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นเครื่องประดับของพระมเหสีก็ตกใจ เป็นอย่างยิ่ง จึงร้องเอะอะโวยวายว่ามีโจรมาขโมยเครื่องประดับไป ทหารได้ยินดังนั้นต่างก็วิ่งหาโจรกันให้วุ่นวาย และได้มีชายชนบทคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี เห็นพวกทหารวิ่งมาทางตนก็รีบวิ่งหนีด้วยความตกใจ ทหารเห็นเช่นนั้นก็คิดว่าชายผู้นี้เป็นคนขโมยไป จึงเข้าจับกุมทั้งโบยและข่มขู่ชายผู้นี้ พร้อมกับถามว่าได้ขโมยเครื่องประดับเหล่านั้นไปหรือไม่
ซึ่งฝ่ายชายชนบทคิดว่าหากตนไม่ยอมรับก็อาจถูกพวกทหารรุมตีจนตายเป็นแน่ จึงกล่าวยอมรับไปเสียอย่างนั้น พวกทหารจึงนำตัวไปเข้าเฝ้าพระเจ้าพรหมทัต ครั้นถูกพระเจ้าพรหมทัตคาดคั้นถามว่าเอาเครื่องประดับไปซ่อนไว้ที่ไหน เขาจึงตอบว่า “ท่านเศรษฐีให้หม่อมฉันมาขโมยเครื่องประดับพวกนั้น ตอนนี้อยู่ที่ท่านเศรษฐีแล้วพระเจ้าค่ะ”
พระเจ้าพรหมทัตจึงรับสั่งให้ไปตามตัวเศรษฐีผู้นั้นมาแล้วตรัสถามเรื่อง เครื่องประดับ แต่เศรษฐีเองก็คิดว่าหากตนปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง ก็อาจถูกทำโทษในระหว่างการไต่สวนเช่นกันจึงยอมรับผิด แต่ก็บอกว่าตอนนี้เครื่องประดับได้ไปอยู่กับท่านปุโรหิตแล้ว
พระเจ้าพรหมทัตก็รับสั่งให้ไปตามปุโรหิตมาเข้าเฝ้า และฝ่ายปุโรหิตก็คิดเช่นเดียวกันกับเศรษฐีและชายชนบทจึงยอมรับผิด แต่ก็บอกว่าขณะนี้เครื่องประดับอยู่ที่นักดนตรีหลวงแล้ว
ครั้นไปตามนักดนตรีหลวงมาพบ เขาก็คิดเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ ก็ยอมรับความผิดอีกเช่นกัน แต่ก็บอกว่าตอนนี้เครื่องประดับนั้นได้ให้แก่นางวัณณฑาทาสีไปแล้ว
พระเจ้าพรหมทัตก็ให้ไปตามตัวมาอีกเช่นเคย ฝ่ายนางวัณณฑาทาสีกล้าพูดความจริงก็ว่านางไม่ได้เป็นคนเอาไป พระเจ้าพรหมทัตทรงเห็นว่าเรื่องราวนี้ยืดเยื้อจึงให้อำมาตย์ผู้หนึ่งเป็นผู้ ไต่สวน อำมาตย์จึงสั่งให้ทหารนำทั้งหมดไปขังรวมกัน จากนั้นก็แอบฟังทั้งห้าคนคุยกัน ทหารที่แอบฟังอยู่ก็รีบไปรายงานว่าทั้งห้าคนนี้มิใช่ผู้ร้าย
ครั้นเมื่อตรองดูแล้วก็คิดว่าผู้ที่ขโมยไปไม่ใช่คนนอก เพราะมีทหารในพระราชวังคอยดูแลอยู่อย่างหนาแน่นเช่นนี้คงไม่มีใครเข้ามาได้ ทำให้อำมาตย์เกิดสงสัยในตัวลิงที่อยู่ในอุทยานหลวงแห่งนี้ จึงบอกให้ทหารไปจับนางลิงมาตัวหนึ่ง แล้วเอาเชือกร้อยเป็นเครื่องประดับให้นางลิงตัวนั้นสวมใส่ จากนั้นก็ให้คอยจับตาหานางลิงที่อาจจะออกมาพร้อมด้วยเครื่องประดับของพระ มเหสี
เมื่อนางลิงที่ได้เครื่องประดับด้วยเชือกแล้วก็เอาไปอวดให้นางลิงตัว อื่นๆ ได้ดู ฝ่ายนางลิงที่ขโมยเครื่องประดับมาเห็นเช่นนั้นก็รีบไปหยิบปิ่นปักผมกับสร้อย มุกมาสวมใส่อวดให้นางลิงตัวอื่นๆ ดูด้วย ทหารเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปจับนางลิงแต่นางลิงตกใจรีบทิ้งเครื่องประดับ และหลบเข้าป่าไป พระราชาชื่นชมในปัญญาของอำมาตย์พร้อมมอบของรางวัลให้ และให้ปล่อยตัวคนทั้งห้าออกจากคุกไป
ข้อคิดจากนิทานชาดก : ผู้มีปัญญาย่อมคลี่คลายปัญหาต่างๆ ได้ดีที่สุด
นิทานก่อนนอนเรื่อง วัวหนุ่มและวัวสาว เป็นนิทานเด็ก นิทานอีสป นิทานเรื่องสั้นๆ นิทานพร้อมภาพประกอบสวยงาม ที่ให้ความสนุกสนานเพลิดเลิน และแง่คิดสอนใจได้ดีทั้งเด็กและผู้ใหญ่
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…มีวัวหนุ่มตัวหนึ่งมักจะทำงานอย่างขยันขันเเข็ง
และอดทนทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา
วัวสาวจึงกล่าวขึ้นมาว่า
“ชีวิตของท่านช่างน่าเบื่อยิ่งนัก …ดูนี่ซิ ดูชีวิตข้าสิได้วิ่งเล่นอย่างสบายในทุ่งหญ้า ทุกๆ วันเลย”
ครั้นเมื่อถึงฤดูเทศกาล วัวหนุ่มก็ได้มีเวลาที่จะได้หยุดจากการทำงาน
ในขณะที่ วัวสาวถูกนำมาฆ่าเพื่อบูชาเทพยดา
วัวหนุ่มจึงคิดขึ้นในใจว่า
“หากมีชีวิตที่มีเเต่เที่ยวเล่นจะต้องพบจุดจบเช่นนี้ …ข้าขอทำงานหนักตลอดทั้งชีวิตดีกว่า”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ผู้ที่รู้จักทำงาน …ย่อมมีคุณค่ามากกว่า”
ทันใดนั้นมีเสียงบางอย่างดังแว่วเข้ามา
หนูทั้งสองวิ่งไปหลบซ่อน อยู่หลังกองอาหาร
หนูบ้านบอกหนูนาว่า “อยู่เฉย ๆ ไว้น่ะ”
หนูนารู้สึกกลัวมาก
แมวตัวหนึ่งเดินเข้ามาในห้องอาหาร มันหันไปมองรอบๆห้อง
แมวตัวนั้นกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะอาหาร
หนูบ้านร้องว่า “วิ่งหนีเร็ว!” หนูทั้งสองวิ่งเข้าไปในรูหนู
หนูนาพูดกับหนูบ้านว่า “ลาก่อนน่ะ ญาติที่รัก”
เจ้าหนูนาเอ่ย “เฮ้ย ทำไมรีบกลับนักล่ะ”
“อืมม์” เจ้าหนูนาตอบ…
“ข้าขอยอมกินถั่วในความสงบ…ดีกว่ากินเค้กในความหวาดกลัวแบบนี้…
ข้าขอกลับไปใช้ชีวิตที่ท้องทุ่งอย่างเดิมดีกว่า”
คดีเครื่องประดับสูญหาย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระเจ้าพรหมทัตผู้เป็นราชาแห่งเมืองพาราณสี ได้เสด็จไปทรงเล่นน้ำอยู่ในอุทยานหลวงพร้อมด้วยพระมเหสีและข้าราชบริพารทั้ง หลาย ซึ่งครั้งนั้นพระมเหสีได้ทรงถอดเครื่องประดับคือปิ่นปักผมและสร้อยมุกอันงด งามใส่ห่อผ้าไว้ แล้วมอบให้แก่นางทาสีคนหนึ่งเป็นผู้รักษาไว้
ขณะนั้นเองก็ได้มีนางลิงตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในอุทยานหลวงแห่งนี้ เมื่อเห็นปิ่นปักผมและสร้อยมุกของพระมเหสีเข้าก็เกิดชอบใจอยากได้มาสวมใส่ บ้าง จึงแอบเฝ้ามองอยู่เมื่อนางทาสีเผลอหลับไป นางลิงสบโอกาสก็แอบเข้าไปขโมยปิ่นปักผมและสร้อยมุกขึ้นไปซ่อนไว้ในโพรงไม้
ฝ่ายนางทาสีเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นเครื่องประดับของพระมเหสีก็ตกใจ เป็นอย่างยิ่ง จึงร้องเอะอะโวยวายว่ามีโจรมาขโมยเครื่องประดับไป ทหารได้ยินดังนั้นต่างก็วิ่งหาโจรกันให้วุ่นวาย และได้มีชายชนบทคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี เห็นพวกทหารวิ่งมาทางตนก็รีบวิ่งหนีด้วยความตกใจ ทหารเห็นเช่นนั้นก็คิดว่าชายผู้นี้เป็นคนขโมยไป จึงเข้าจับกุมทั้งโบยและข่มขู่ชายผู้นี้ พร้อมกับถามว่าได้ขโมยเครื่องประดับเหล่านั้นไปหรือไม่
ซึ่งฝ่ายชายชนบทคิดว่าหากตนไม่ยอมรับก็อาจถูกพวกทหารรุมตีจนตายเป็นแน่ จึงกล่าวยอมรับไปเสียอย่างนั้น พวกทหารจึงนำตัวไปเข้าเฝ้าพระเจ้าพรหมทัต ครั้นถูกพระเจ้าพรหมทัตคาดคั้นถามว่าเอาเครื่องประดับไปซ่อนไว้ที่ไหน เขาจึงตอบว่า “ท่านเศรษฐีให้หม่อมฉันมาขโมยเครื่องประดับพวกนั้น ตอนนี้อยู่ที่ท่านเศรษฐีแล้วพระเจ้าค่ะ”
พระเจ้าพรหมทัตจึงรับสั่งให้ไปตามตัวเศรษฐีผู้นั้นมาแล้วตรัสถามเรื่อง เครื่องประดับ แต่เศรษฐีเองก็คิดว่าหากตนปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง ก็อาจถูกทำโทษในระหว่างการไต่สวนเช่นกันจึงยอมรับผิด แต่ก็บอกว่าตอนนี้เครื่องประดับได้ไปอยู่กับท่านปุโรหิตแล้ว
พระเจ้าพรหมทัตก็รับสั่งให้ไปตามปุโรหิตมาเข้าเฝ้า และฝ่ายปุโรหิตก็คิดเช่นเดียวกันกับเศรษฐีและชายชนบทจึงยอมรับผิด แต่ก็บอกว่าขณะนี้เครื่องประดับอยู่ที่นักดนตรีหลวงแล้ว
ครั้นไปตามนักดนตรีหลวงมาพบ เขาก็คิดเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ ก็ยอมรับความผิดอีกเช่นกัน แต่ก็บอกว่าตอนนี้เครื่องประดับนั้นได้ให้แก่นางวัณณฑาทาสีไปแล้ว
พระเจ้าพรหมทัตก็ให้ไปตามตัวมาอีกเช่นเคย ฝ่ายนางวัณณฑาทาสีกล้าพูดความจริงก็ว่านางไม่ได้เป็นคนเอาไป พระเจ้าพรหมทัตทรงเห็นว่าเรื่องราวนี้ยืดเยื้อจึงให้อำมาตย์ผู้หนึ่งเป็นผู้ ไต่สวน อำมาตย์จึงสั่งให้ทหารนำทั้งหมดไปขังรวมกัน จากนั้นก็แอบฟังทั้งห้าคนคุยกัน ทหารที่แอบฟังอยู่ก็รีบไปรายงานว่าทั้งห้าคนนี้มิใช่ผู้ร้าย
ครั้นเมื่อตรองดูแล้วก็คิดว่าผู้ที่ขโมยไปไม่ใช่คนนอก เพราะมีทหารในพระราชวังคอยดูแลอยู่อย่างหนาแน่นเช่นนี้คงไม่มีใครเข้ามาได้ ทำให้อำมาตย์เกิดสงสัยในตัวลิงที่อยู่ในอุทยานหลวงแห่งนี้ จึงบอกให้ทหารไปจับนางลิงมาตัวหนึ่ง แล้วเอาเชือกร้อยเป็นเครื่องประดับให้นางลิงตัวนั้นสวมใส่ จากนั้นก็ให้คอยจับตาหานางลิงที่อาจจะออกมาพร้อมด้วยเครื่องประดับของพระ มเหสี
เมื่อนางลิงที่ได้เครื่องประดับด้วยเชือกแล้วก็เอาไปอวดให้นางลิงตัว อื่นๆ ได้ดู ฝ่ายนางลิงที่ขโมยเครื่องประดับมาเห็นเช่นนั้นก็รีบไปหยิบปิ่นปักผมกับสร้อย มุกมาสวมใส่อวดให้นางลิงตัวอื่นๆ ดูด้วย ทหารเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปจับนางลิงแต่นางลิงตกใจรีบทิ้งเครื่องประดับ และหลบเข้าป่าไป พระราชาชื่นชมในปัญญาของอำมาตย์พร้อมมอบของรางวัลให้ และให้ปล่อยตัวคนทั้งห้าออกจากคุกไป
ข้อคิดจากนิทานชาดก : ผู้มีปัญญาย่อมคลี่คลายปัญหาต่างๆ ได้ดีที่สุด
นิทานก่อนนอนเรื่อง วัวหนุ่มและวัวสาว เป็นนิทานเด็ก นิทานอีสป นิทานเรื่องสั้นๆ นิทานพร้อมภาพประกอบสวยงาม ที่ให้ความสนุกสนานเพลิดเลิน และแง่คิดสอนใจได้ดีทั้งเด็กและผู้ใหญ่
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…มีวัวหนุ่มตัวหนึ่งมักจะทำงานอย่างขยันขันเเข็ง
และอดทนทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา
วัวสาวจึงกล่าวขึ้นมาว่า
“ชีวิตของท่านช่างน่าเบื่อยิ่งนัก …ดูนี่ซิ ดูชีวิตข้าสิได้วิ่งเล่นอย่างสบายในทุ่งหญ้า ทุกๆ วันเลย”
ครั้นเมื่อถึงฤดูเทศกาล วัวหนุ่มก็ได้มีเวลาที่จะได้หยุดจากการทำงาน
ในขณะที่ วัวสาวถูกนำมาฆ่าเพื่อบูชาเทพยดา
วัวหนุ่มจึงคิดขึ้นในใจว่า
“หากมีชีวิตที่มีเเต่เที่ยวเล่นจะต้องพบจุดจบเช่นนี้ …ข้าขอทำงานหนักตลอดทั้งชีวิตดีกว่า”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ผู้ที่รู้จักทำงาน …ย่อมมีคุณค่ามากกว่า”
ทันใดนั้นมีเสียงบางอย่างดังแว่วเข้ามา
หนูทั้งสองวิ่งไปหลบซ่อน อยู่หลังกองอาหาร
หนูบ้านบอกหนูนาว่า “อยู่เฉย ๆ ไว้น่ะ”
หนูนารู้สึกกลัวมาก
แมวตัวหนึ่งเดินเข้ามาในห้องอาหาร มันหันไปมองรอบๆห้อง
แมวตัวนั้นกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะอาหาร
หนูบ้านร้องว่า “วิ่งหนีเร็ว!” หนูทั้งสองวิ่งเข้าไปในรูหนู
หนูนาพูดกับหนูบ้านว่า “ลาก่อนน่ะ ญาติที่รัก”
เจ้าหนูนาเอ่ย “เฮ้ย ทำไมรีบกลับนักล่ะ”
“อืมม์” เจ้าหนูนาตอบ…
“ข้าขอยอมกินถั่วในความสงบ…ดีกว่ากินเค้กในความหวาดกลัวแบบนี้…
ข้าขอกลับไปใช้ชีวิตที่ท้องทุ่งอย่างเดิมดีกว่า”
นิทานเรื่องสอนให้รู้ว่า
“มีชีวิตสงบสุขปลอดภัย…ดีกว่าสุขสบาย…แต่ต้องหวาดหวั่น…เต็มไปด้วยอันตราย”
“มีชีวิตสงบสุขปลอดภัย…ดีกว่าสุขสบาย…แต่ต้องหวาดหวั่น…เต็มไปด้วยอันตราย”
เรียบเรียงข้อมูล : bkkseek.com , Photo Credit : story.kidszaa.com